การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลกอีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบ ทั้งในแง่ของการส่งออก การลงทุน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หากสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยอาจสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ
เศรษฐกิจโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ตั้งแต่โรคระบาด ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไปจนถึงนโยบายการค้าของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง เราเริ่มเห็นการประกาศนโยบายการค้าของเขาจะยังคงส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย
บทความนี้ได้วิเคราะห์แนวโน้มของนโยบายการค้าของทรัมป์ในวาระที่สอง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ
Trump 2.0 กับการค้าและการต่างประเทศ
ก่อนอื่นต้องพิจารณาถึงนโยบายการค้าและการต่างประเทศในปี 2025 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐอเมริกาได้ดำเนินนโยบายการค้าและการต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนี้:
นโยบายการค้า
1. การขึ้นภาษีนำเข้า หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 มีการระงับการขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไป 30 วัน แต่การขึ้นภาษีกับจีนยังคงมีผลตามกำหนดเดิม (รายงานจาก Amarin TV)
2. นโยบาย อเมริกามาก่อน ทรัมป์ได้เน้นนโยบาย อเมริกามาก่อน โดยปิดประตูต่อการค้าที่เปิดกว้าง และโจมตีสถาบันระหว่างประเทศ เช่น UN, NATO, G20, G7, EU, APEC และ ASEAN ซึ่งอาจเป็นตัวเร่งทำให้โลกเดินมาถึงจุดจบของยุคโลกาภิวัตน์ (รายงานจาก ไทยพับลิก้า)
3. สงครามการค้ารอบใหม่ ในเดือนมกราคม 2025 ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบียทั้งหมด หลังจากเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายผู้ถูกเนรเทศจากโคลอมเบีย (รายงานจาก The Standard)
นโยบายการต่างประเทศ
1. การเจรจาสงครามรัสเซีย-ยูเครน: ทรัมป์ได้ขู่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อรัสเซียและประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในยูเครน หากรัสเซียไม่บรรลุข้อตกลงยุติสงคราม (รายงานจาก The Standard)
2. การเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครน: สหรัฐฯ ได้เชิญประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี มาพูดคุยเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ คิดจะใช้ผลักดันการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการค้าและการต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ในปี 2025 ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2025 มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน ดังนี้:
ผลกระทบด้านลบ
1. การส่งออกชะลอตัว ในรายงานของ cimbthai ประเมินว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทำให้การค้าโลกชะลอตัว ส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มเติบโตช้าลง
2. การแข่งขันจากสินค้าจีน ในรายงานข่าวของประชาชาติธุรกิจ ที่อ้างถึงผลรายงานของ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนโดยสหรัฐฯ ทำให้สินค้าจีนหันมาทำตลาดในประเทศอื่น รวมถึงไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
3. ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ พิจารณามาตรการกีดกันทางการค้าต่อไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
ผลกระทบด้านบวก:
1. การย้ายฐานการผลิต รายงานของ cimbthai ประเมินว่านโยบายภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีนกระตุ้นให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ซึ่งอาจช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์
2. การลงทุนจากต่างประเทศ ในรายงานของ SCB EIC Trump 2.0 : ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย ประเมินว่าไทยอาจได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน เนื่องจากประเทศต่างๆ มองหาแหล่งผลิตใหม่ที่ไม่ถูกกีดกันทางการค้า
นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ในปี 2025 ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อเศรษฐกิจไทย โดยภาคการส่งออกอาจเผชิญกับความท้าทายจากการชะลอตัวของการค้าโลกและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าจีน ขณะเดียวกัน ไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศ
ความเสี่ยงและการตอบสนองของไทยต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออก ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็น 18.3% ของการส่งออกทั้งหมด
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
1. การเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 35,400 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ไทยตกเป็นเป้าหมายของมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
2. ภาษีนำเข้าสินค้า นโยบายการค้าของทรัมป์อาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น สินค้าเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์
3. การระบายสินค้าจากจีน หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จีนอาจระบายสินค้าของตนไปยังตลาดอื่น รวมถึงไทย ซึ่งอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดภายในประเทศ
การตอบสนองของไทย
ในรอบสองเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีการศึกษาผลกระทบในมิติต่างๆ รวมถึงได้มีมาตรการตอบสนองต่อเรื่องนี้ในหลายๆ มิติ อาทิ
1. การศึกษาผลกระทบ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการ ให้มี การศึกษาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
2. การเจรจาทางการค้า พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงความหวังว่า ไทยจะไม่เผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และย้ำถึงความพร้อมของไทยในการเจรจาและปรับตัวตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดี
3. การนำเข้าก๊าซอีเทน ไทยมีแผนที่จะ นำเข้าก๊าซอีเทน (Ethane) จำนวน 1 ล้านตันในไตรมาสที่สองของปีนี้ เพื่อช่วยลดช่องว่างทางการค้ากับสหรัฐฯ
4. การส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลไทยตั้งเป้าหมาย ดึงดูดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มูลค่า 5 แสนล้านบาทภายในปี 2572 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจ
จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าไทยตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ
หลากมุมมองของนักวิเคราะห์
นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สองมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน นักวิเคราะห์และหน่วยงานต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นและประเมินผลกระทบดังนี้
1. ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยผ่านห่วงโซ่การผลิต รายงานของ Policy Watch ของ TPBS ประเมินว่า เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน จะส่งผลให้จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะทำให้ความต้องการสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าขั้นกลางในห่วงโซ่การผลิตของจีน มีโอกาสลดลงด้วย โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์
2. การระบายสินค้าของจีนเข้าสู่ตลาดไทย: ในรายงานฉบับเดียวกันของ Policy Watch ของ TPBSกล่าวว่าเมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง ท่ามกลางการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ จีนอาจระบายสินค้าที่ผลิตไว้ไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย โดยอาศัยความได้เปรียบด้านราคาที่ต่ำ สินค้าที่คาดว่าจีนจะระบายออกมายังไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค
3. การตอบสนองของรัฐบาลไทย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ได้สั่งการให้มี การศึกษาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 35,400 ล้านดอลลาร์
4. ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำนักข่าว Reuters รายงานว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.2% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2024 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังคงเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบเก้าไตรมาส อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2025
5. ความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้น Reuters ยังรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของไทยในเดือนมกราคมอยู่ที่ 91.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการค้าระดับโลก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสินค้าจากจีนและหนี้ในประเทศที่สูง
6. การคาดการณ์การเติบโตของ GDP: คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยในปี 2025 ไว้ที่ 2.4% ถึง 2.9% แม้ว่าจะมีสงครามการค้าโลกและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการนำเข้า
นอกจากนี้ เกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้วิเคราะห์ว่านโยบายทรัมป์ 2.0 ที่จะขึ้นภาษีสินค้ากับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการส่งออก
จากข้อมูลและความเห็นของนักวิเคราะห์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในวาระที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
Featured Image: Official 2025 inaugural portrait of Donald Trump by Daniel Torok, Image by freepik,